พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ

พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ
ท่านอาลี ท่านฮาซัน และท่านฮูเซน ไม่เคยรับรู้พิธีนอกรีดที่ว่านี้เลย

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รอฟิเฎาะฮฺ และยิว มีส่วนคล้ายกันมาก



รอฟิเฎาะฮฺ และยิว มีส่วนคล้ายกันเช่นไร ?


ชัยคุล อิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺได้อธิบายว่า : “พวกท่าน จงรู้เถิดว่า ความเคราะห์ร้ายของรอฟิเฎาะฮฺก็คือความเคราะห์ร้ายของยิว ...
พวกยิวอ้างว่า อำนาจการปกครองไม่สมควรแก่ผู้ใดนอกเสียจากลูกหลานดาวูดเท่านั้น ในขณะที่รอฟิเฎาะฮฺก็อ้างว่าการเป็นอิมามจะไม่เป็นสิทธิของผู้ใดนอกเสียจากลูกหลานอาลีเท่านั้น
พวกยิวอ้างว่าไม่มีสงครามในหนทางของพระเจ้า จนกว่าดัจญาลจะออกและมีดาบลงมา ส่วนรอฟิเฎาะฮฺก็อ้างว่าไม่มี ญิฮาดจนกว่ามะฮฺดีจะออกมาและมีเสียงเรียกจากฟ้า...
พวกยิวจะปล่อยเวลาละหมาดให้ล่วงเลยจนกว่าดวงดาวจะขึ้นเต็มฟ้า ในขณะที่รอฟิเฎาะฮฺจะไม่ละหมาดมัฆริบจนกว่าดาวจะเต็มฟ้าเช่นกัน ซึ่งขัดกับหะดีษที่ว่า ((ประชาชาติของฉันจะยังคงอยู่ในสัญชาติอันดี ตราบใดที่พวกเขาไม่ปล่อยเวลาละหมาดมัฆริบ ให้ล่วงเลยไปจนดวงดาวเต็มฟ้า)) [1]  ...
 พวกยิวได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคัมภีร์เตารอต พวก         รอฟิเฎาะฮฺก็ทำการแก้ไขอัลกุรอานเช่นกัน...
พวกยิวไม่เห็นด้วยกับการลูบบนถุงเท้าหนัง(ในการอาบน้ำละหมาด) แทนการล้างเท้า เช่นเดียวกันกับรอฟิเฎาะฮฺ ...
พวกยิวจงแค้นญิบรีลและหาว่าญิบรีลที่มาจากมลาอิกะฮฺเป็นศัตรูของพวกเขา ส่วนรอฟิเฎาะฮฺก็กล่าวหาว่าญิบรีลสับสนในการนำวะหฺยูจากอัลลอฮฺให้มุหัมมัด (แทนที่จะนำไปให้อาลี)” [2]
พวกรอฟิเฎาะฮฺยังมีส่วนคล้ายกับคริสต์ เพราะคริสต์จะไม่มีสินสมรสให้เจ้าสาว พวกรอฟิเฎาะฮฺก็ปฏิบัติเยี่ยงเดียวกัน พวกเขาอยู่กินกับผู้หญิงเยี่ยงสามีภรรยาด้วยมุตอะฮฺ และถือเป็นสิ่งที่อนุมัติให้ทำเช่นนั้น
แท้จริงแล้วพวกยิวและคริสต์ ยังดีกว่าพวกรอฟิเฎาะฮฺถึงสองข้อ เพราะถ้าเราถามยิวว่าใครดีที่สุดในศาสนาของพวกท่าน ? พวกยิว จะตอบว่า สาวกของมูซา ส่วนคริสต์ก็จะตอบว่า สาวกของอีซา แต่ถ้าเราถามรอฟิเฎาะฮฺว่า ใครร้ายที่สุดในศาสนาของท่าน ? พวกเขากลับตอบว่า บรรดาสาวกของมุหัมมัด !!![3]
เชค อับดุลลอฮฺ อัลญุมัยลีย์ ได้บันทึกในหนังสือของท่าน บัซลุ อัลมัญฮูด ฟี มุชาบะฮะห์ อัลรอฟิเฏาะฮฺ ลิ อัลยะฮูด ว่า ในส่วนคล้ายของชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺกับยิวคือการกล่าวผู้อื่นว่าเป็นกาฟิร ทรัพย์สมบัติและชีวิตของผู้อื่นเป็นสิ่งที่อนุญาตและสนับสนุนให้กระทำได้
เชค อับดุลลอฮฺ อัลญุมัยลีย์ กล่าวว่า ยิวได้แบ่งมนุษย์เป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ ยิว และประเภทที่สองคือ อัลอุมะมียูน ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ยิว พวกยิวได้ยึดมั่นว่าพวกเขาเท่านั้นที่เป็นพวกมุอฺมินหรือศรัทธาเท่านั้น ส่วนอัลอุมะมียูนเป็นกาฟิรที่ไม่รู้จักอัลลอฮฺ และ ได้มีการบันทึกในหนังสือ อัลติลมูด ว่า ทุกประชาชาติที่ไม่ใช่ยิว เป็นกาฟิร                  แม้กระทั้งนบีอีซาก็ไม่พ้นจากการกล่าวหาว่าเป็นกาฟิรตามการยึดมั่นของยิว ดังที่ได้มีการบันทึกในหนังสือ อัลติลมูด ด้วยการบอกถึงคุณลักษณะของอีซาว่า อีซานั้นเป็นกาฟิร เขาไม่รู้จักอัลลอฮฺ ชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺยังได้ยึดมั่นอีกว่า พวกเขาเท่านั้นที่เป็นมุอฺมินหรือผู้ศรัทธาเท่านั้น ส่วนที่ผู้ไม่ใช่พวกเขาที่เป็นมุสลิมนั้นเป็นกาฟิรที่มุรตัด(ตกศาสนา) พวกนี้ไม่มีสิทธิใดๆในศาสนาอิสลาม เหตุผลที่ชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺได้กล่าวร้ายต่อมุสลิมนั้น เนึ่องจากมุสลิมไม่ได้ปกครองตามหลักการยึดมั่นของรอฟิเฏาะฮฺที่พวกเขายึ่ดมั่นว่าการปกครองดังกล่าวนั้นเป็นรุกนหรือหนึ่งในหลักการของศาสนาอิสลาม และผู้ใดที่ไม่ได้นำการปกครองตามชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺมาใช้ ผู้นั้นคือกาฟิรในการยึดมั่นของพวกชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺเสมือนกับการไม่ได้กล่าวปฏิญานตน(ชะฮาดะฮฺ)หรือปฏิเสธหลักศาสนาบางประการ จนกระทั่งพวกชีอะฮฺ        รอฟิเฏาะฮฺให้ความสำคัญเรื่องการปกครองเป็นอันดับแรกจากกฏของศาสนาอีกหลายประการ
อัลบัรกีย์ ได้รายงานจาก อบู อับดุลลอฮฺ เขาได้กล่าวว่า “ไม่มีใครตามศาสนาของท่านนบีอิบรอฮีม นอกจากเราและชีอะฮฺของเราเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นคือผู้ที่ปฏิเสธ” และมีการบันทึกในหนังสือตัฟซีรของอัลกุมีย์ รายงานจาก  อบู อับดุลลอฮฺ เขาได้กล่าวว่า “ไม่ใครนับถือศาสนาอิสลาม จนกระทั้งถึงวันกิยะมัต นอกเสียจากพวกเรา(ชาวชีอะฮฺ)เท่านั้น”[4]


1] รายงานโดย อะห์มัด (4/147,5/417,422) อบู ดาวูด (418) อิบนุ มาญะห์ (689) มีใน อัลซะวาอิด  ว่า เป็นสายรายงานที่ดี
[2] พวกอัล ฆอรออีบียะห์ คือพวกหนึ่งที่กล่าวหาว่า ญิบรีล นำวะห์ยูไปให้ มุหัมมัด ในขณะที่อาลี คือผู้ที่สมควรจะได้รับ พวกเขาจึงกล่าวว่า “อัล อะมีน ไม่รักษาสัจจะ และปิดบังโองการไม่ให้ท่านอิมาม” จงดูเถิด พี่น้องมุสลิม ว่าพวกเขากล่าวหาเช่นนี้ได้อย่างไร ในขณะที่อัลลอฮฺ ทรงประกาศว่า
 ( نَزَلَ بِهِ الرُّوحُ الأميِنُ )
 ความว่า : อัล กุรอาน นำลงมาโดยผู้มีอะมานะห์ยิ่ง
[อัลชุอะรออฺ  26 :193]
และในโองการอื่นมีว่า
( مُّطاعٍ ثَمَّ أميِنٍ )    
ความว่า : เขาคือผู้ที่ได้รับการเชื่อฟังและเป็นผู้ที่มีอะมานะห์ยิ่ง
[อัลตักวีร 18:21]
เราคิดเช่นไร กับความเชื่อที่สกปรกของรอฟิเฎาะฮฺพวกนี้ ?
[3] ดู มินฮาจ อัลสุนนะห์ของ อิบนุ ตัยมียะห์ (1/24)
[4] บัซลุ อัลมัญฮูด ฟี มุชาบะฮะห์ อัลรอฟิเฏาะฮฺ ลิ อัลยะฮูด โดย อับดุลลอฮฺ อัลญุมัยลีย์ 2/599, 568 ดูข้อมูลเพื่อเติม เกี่ยวกับการที่ชีอะฮฺกล่าวหามุสลิมว่าเป็นกาฟิรจากหนังสือ อัชชีอะฮฺ อัลอิษนา อะชารียะฮฺ วะตักฟีรุฮุม ลิ อุมูม อัลมุสลิมีน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น