พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ

พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ
ท่านอาลี ท่านฮาซัน และท่านฮูเซน ไม่เคยรับรู้พิธีนอกรีดที่ว่านี้เลย

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กลลวงของชีอะฮ์รอฟีเฎาะฮฺต่อชาวสุนนะฮฺปัจจุบัน

ทัศนะอุลามะฮฺของชีอะฮ์ในอดีตกับความเป็นกาเฟรของชาวสุนนะฮ์
شيعة
กลอุุบายของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺให้ชาวสุนนะฮ์ตกหลุมพราง

ในอดีตอุลามะฮฺของชีอะฮ์มากมายที่แสดงทัศนะว่าชาวสุนนะฮฺเป็นพวกปฏิเสธ อยู่นอกศาสนาอิสลาม อันเนื่องจากชาวสุนนะฮฺปฏิเสธการศรัทธาในอิมามะฮฺของ 12 อิมาม ซึ่งอยู่ในภาวะศาสดา หรือนุบุวะฮฺ
เช่น อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ.381)
ผู้แต่งหนึ่งในสี่หนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮ์ คือหนังสือ มัน ลา ยะฮฺซุรุหุล ฟะเกียฮฺ ได้กล่าวเอาไว้มีใจความตอนหนึ่งว่า
"มันเป็นความเชื่อของเราเกี่ยวกับบุคคลที่ปฏิเสธอิมามะฮฺของท่านอะมีรุ้ลมุอฺมินีน(อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ) และบรรดาอิมามภายหลังท่าน บุคคลผู้นั้นย่อมอยู่ในฐานะเดียวกับบุคคลที่ปฏิเสธนุบุวะฮฺของอัมบิยาอฺ"
เชคมุฟิด ลูกศิษย์ของ อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมีย์(เสียชีวิตใน ฮ.ศ.413) เขียนเอาไว้ว่า
"ในหมู่ชาวอิมามียะฮฺ(ชาวอิษนาอะชัร หรือชีอะฮฺสายสิบสองอิมาม) มีทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า บุคคลใดที่ปฏิเสธอิมามมะฮฺของอิมามคนใดคนหนึ่ง และปฏิเสธหน้าที่ของการเคารพเชื่อฟังที่พึงมีต่อพวกเขาตามที่อัลลอฮฺได้ทรงมีบัญชาไว้ บุคคลผู้นั้นคือกาเฟร ผู้หลงทาง และเขาควรที่จะได้รับการทรมานในนรกตลอดกาล" (อัล-มะซาอิล , อ้างอยู่ในบิฮารฺ อัล-อันวารฺ เล่ม 8 หน้า 366)
 อบู ยะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ ผู้ได้รัยฉายาว่าเชค อัต-ตาอิฟะฮฺ(เสียชีวิต 460) ซึ่งเป็นผู้เขียนสองในสี่ของหนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮฺ ได้กล่าวว่า
"การปฏิเสธอิมามะฮฺเป็นกาเฟรฺ เหมือนกับการปฏิเสธนุบุวะฮฺ(ที่ทำให้)เป็นกุฟรฺนั้นเอง" (ตัลคิส อัช-ชาฟี เล่่ม 4 หน้า 131)   
นี้คือความคิดเห็นอุลามะฮฺชีอะฮฺผู้มีชื่อเสียงโดงดังบางท่านในสมัยอดีต และถ้ามองจากมุมมองของความสอดคล้องต้องกันแล้ว ถือว่ามีน้ำหนักโดยแท้จริง และยังสอดคล้องกับหลักศรัทธารุก่นอิหม่าน ของลัทธิชีอะฮ์ ซึ่งมี 5 ประการ ดังนี้
1. เตาฮีด (เอกภาพ) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ ศรัทธาว่าพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง และพระผู้ทรงกำหนด
2. อะดาละฮฺ (ความยุติธรรม) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงยุติธรรมยิ่ง
3. นุบูวะฮฺ (ศาสดาพยากรณ์) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ได้ทรงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือนบีมุฮัมมัด ที่ได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ในนั้นมีคำสั่งสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ ทาสผู้รับใช้อัลลอฮฺ มีบทบัญญัติ และพงศาวดารของประชาชาติในอดีต เพื่อเป็นข้อคิดและอุทธาหรณ์
4. อิมามะฮฺ (การเป็นผู้นำ) ศรัทธาว่าผู้นำสูงสุดในศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาสนทูตมุหัมมัดเท่านั้น จะเลือกหรือแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ผู้นำเหล่านั้น มี 12 คนคือ อะลีย์ บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลีย์ และฟาฏิมะฮฺอีก 11 คน
5. มะอาด (การกลับคืน) ศรัทธาในวันฟื้นคืนชีพ คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
กลอุบายของลัทธิชีอะฮฺต่อชาวสุนนะฮฺปัจจุบัน
กลอุบายที่ชาวสุนนะฮฺตกหลุ่มพราง


 แต่เมื่อถามชีอะฮฺที่อยู่สมัยปัจจุบัน(โดยเฉพาะพวกที่พึ่งเข้ารีตเป็นลัทธิชีอะฮฺใหม่) ว่า พวกเขาเชื่อหรือไม่ว่า ชาวสุนนีย์เป็นกาเฟร พวกเขาจะมีปฏิกิริยาในลักษณะที่น่าประหลาดใจ และพวกเขาอาจจะแสดงท่าทางสลดใจกับคำถามดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีการปิดบังข้อเท็จจริงบางประการไม่ให้พวกเข้ารีตใหม่ได้รับรู้ ทั้งนี้เพราะจะเสียประโยชน์ในแผนการโฆษณาชวนเชื่อ
อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรดาผู้ที่มีความรู้ทางด้านวิชาการของชีอะฮฺเป็นอย่างดี ย่อมรู้ว่าในสายของชีอะฮฺนั้น ถือว่าในระหว่างความเป็นมุสลิมกับมุอฺมินนั้นไม่เหมือนกัน คนที่ปฏิญาณตัวเข้ารับอิสลามทุกคนเป็นมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นสุนนีย์ , ซัยดียะฮฺ , มุอฺตะซิละฮฺ และอื่นๆ

มุอฺมินในทัศนะของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ
มุอฺมินในทัศนะของชีอะฮฺนั้น ได้แก่บุคคลที่ศรัทธาในอิมามสิบสอง(12)เท่านั้น ด้วยกลอุบายอันชาญฉลาดเยี่ยงนี้ ฟุเกาะฮาของชีอะฮฺสามารถใช้ก้อนหินก้อนเดียวฆ่านกไปได้หลายตัว โดยการยอมรับว่านิกายอื่นๆทั้งหมดเป็นมุสลิม พวกเขาสามารถปกป้องตัวเอง ให้พ้นจากความน่าตลกขบขันจากการอัปเปหิชาวสุนนะฮ์ผู้นับถือที่มีจำนวนมากกว่า 90% ให้พ้นไปจากแวดวงของอิสลาม ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้น คือคนที่นำเอาธงของอิสลามไปโบกสะบัดอยู่ตามมุมโลก ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังสามารถหลีกเลี่ยงความเป็นปรปักษ์ของชาวสุนนีย์และกลุ่มอื่นๆไปได้ ซึ่งทำให้การเข้ารีต(ไปเป็นกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ)สะดวกสบายขึ้นสำหรับพวกเขา

การแบ่งแยกมุสลิมออกจากมุอฺมินของลัทธิชีอะฮฺอิมามสิบสอง
ในอีกด้านหนึ่ง โดยอาศัยมาตรการที่มีเลห์เหลี่ยมอย่างนี้ คือการแบ่งแยกมุสลิมออกจากมุอฺมิน พวกเขาสามารถขับไล่ฝ่ายตรงข้ามออกไปจากศาสนาอย่างได้ผล เพราะมุสลิมนั้นได้แก่บรรดาผู้ที่กฏหมายอิสลามมีผลบังคับใช้เหนือพวกเขาในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงอนุญาตให้แต่งงานกับพวกเขาได้ ละหมาดตามหลังพวกเขาได้ ให้บริโภคสัตว์ที่พวกเขาเชือดได้

สำหรับมุอฺมินในทัศนะของลัทธิชีอะฮฺนั้น ได้แก่บรรดาเขาเหล่านั้นที่จะพบกับความรอดพ้นในวันอาคีเราะฮ์เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น และนั้นต้องขึ้นอยู่กับการศรัทธาในอิมามสิบสองนั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างมุสลิมกับมุอฺมินในลักษณะนี้ จะหาพบได้ในตำรารุ่นก่อนๆของลัทธิชีอะฮฺ
ตัวอย่าง เช่น ยะหืยา อิบนิ สะอิด อัล-ฮิลลีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ.690) ฟากีฮฺของสมัย ฮ.ศ.ที่ 7 ได้เขียนเอาไว้ในหนังสืออัล-ญะมิอฺ ลิช-ชะเราะอิอฺ ซึ่งเป็นตำราทางด้านฟิกฮฺของท่าน ตอนหนึ่งมีใจความว่า
"การที่มุสลิมคนหนึ่งจะทำวะกัฟให้กับมุสลิมคนอื่นๆย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะมุสลิมนั้น ได้แก่บรรดาผู้ที่กล่าวสองชะฮาดะฮฺ และ (รวมถึง) เด็กๆ ของพวกเขา แต่ถ้าคนผู้หนึ่งมอบบางสิ่งบางอย่างโดยวะกัฟให้กับมุอฺมินแล้ว สิ่งนั้นจะได้แก่ชาวอิมามียะฮฺที่ศรัทธาในอิมามะฮฺของอิมาม 12 แต่เพียงพวกเดียวเท่านั้น" (อัล-ญะเมียะอฺ ลิช-ชะรออีอฺ หน้า 371)
ในช่วงเวลาแปดศตวรรษต่อมา อยาตุลลอฮฺ คุมัยนีได้มาประกาศทัศนะอย่างเดียวกันนั้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านกล่าวเอาไว้ในหนังสือตะฮฺรีรฺ อัล-วาซิละฮฺ หนังสือทางฟิกฮฺของท่านว่า
"ถ้าบุคคลหนึ่งทำวะกัฟให้กับมุสลิม วะกัฟนั้นจะได้แก่ทุกคนที่ปฏิญาณตัวด้วยสองชะฮาดะฮฺ...แต่ถ้าชาวอิมามีย์ผู้หนึ่งทำวะกัฟให้กับมุอฺมิน วะกัฟนั้นจะจำกัดเฉพาะชาวอิษนา อะชะรียะฮฺ (ชีอะฮฺสิบสองอิมาม) เท่านั้น" (ตะฮฺรีรฺ อัล-วาซิละฮฺ เล่ม 2 หน้า 72)
มุอฺมินในความพิเศษและมุอฺมินในความหมายทั่วไปของลัทธิชีอะฮฺ
คุมัยนียืนยันมุอฺมินคือชาวชีอะฮฺอิมามสิบสองเท่านั่น


ในบรรดาโฆษณาของลัทธิชีอะฮฺร่วมสมัยบางคน เช่น กาชิฟ อัล-ฆฺตะฮฺ ตระหนักว่ากลอุบายประการนี้ยังแหลมคมไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงประดิษฐ์ศัพท์บัญญํติขึ้นมาใหม่ เขาใช้คำว่ามุอฺมินในความหมายพิเศษ และมุอฺมินในความหมายทั่วไป บุคคลใดก็ตามเชื่อมั่นในอิมามะฮฺให้ถือว่าเขาเป็นมุอฺมินในลักษณะพิเศษ ขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ยอมศรัทธาในอิมามะฮฺให้ถือเสียว่าเป็นมุอฺมินในความหมายทั่วไป ดังนั้นบรรดาคนเหล่านี้จึงอยู่ภายใต้กฎหมายทางโลกของอิสลาม(ตามความคิดของพวกเขา)ด้วยเช่นกัน เขากล่าวว่า ผลลัพธ์ของความแตกต่างประการนี้ จะปรากฏให้เห็นในวันแห่งการพิพากษา ในระดับของการได้อยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าและเกียรติยศที่จะถูกประทานให้แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาในอิมามะฮฺ (อัศลฺ อัช-ชีอะฮฺ วะ-อุศูลุฮา หน้า 58-59)

เล่ห์เหลี่ยมของรอฟีเฎาะฮฺชาวสุนนะฮฺเป็นมุสลิมเรื่องทางโลกนี้ ปรโลกคือชาวนรก
เรื่องดังกล่าวมาข้างต้น ย่อมได้เปิดเผยให้ทราบมากกว่าที่ผู้เขียน(ลัทธิชีอะฮฺ)ประสงค์จะเปิดเผยเสียอีก มันเปิดเผยให้ชาวสุนนะฮฺทราบว่า เมื่อชีอะฮฺพูดว่าพวกเขาถือว่าชาวสุนนีย์เป็นมุสลิมนั้น นั้นเป็นเพียงคำอ้างถึงเรื่องทางโลกแต่อย่างเดียวเท่านั้น สำหรับเรื่องของโลกหน้า ของปรโลกนั้น ชาวสุนนีย์ที่ไม่ยอมศรัทธาในอิมามะฮฺของอิมามสิบสอง ก็มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากพวกยิว , คริสเตียน , ชาวพุทธ , ฮินดู หรือผู้ปฏิเสธนุบุวะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ พวกอื่นๆ

รอฟีเฎาะฮฺอำพลางอากีดะฮฺเพื่อความได้เปรียบและความสะดวก
สาเหตุที่ลัทธิชีอะฮฺต้องพูดว่าชาวสุนนีย์เป็นมุสลิมนั้น ก็เพื่อความได้เปรียบและความสะดวกของพวกตน ถ้าไม่แสดงความคิดออกมาอย่างนี้ ชีอะฮฺจะต้องถอยร่นเข้าไปสู่ความโดดเดี่ยว และถูกคว่ำบาตรจากพี่น้องมุสลิมที่เหลือทั้งหมด
ซัยยิด อับดุลลอฮฺ ชุบบารฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ.1232) ได้ให้เหตุผลเรื่องนี้เอาไว้ในบทอรรถาธิบายอัซ-วิยาเราะฮฺ อัล-ญะมีอะฮฺ ซึ่งเป็นหนังสือดุอาอฺสำหรับใช้อ่านที่หลุมฝังศพของบรรดาอิมาม เมื่อถึงตอนที่อัซ-ซิยาเราะฮฺอ่านได้ความว่า "บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธท่านเขาเป็นกาเฟรฺ" ซัยยิด อับดุลลอฮฺ ชุบบารฺ อธิบายว่า
"มีหะดิษมากมายแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้คัดค้านเป็นกาเฟรฺ ถ้าจะคัดลอกหะดิษทั้งหมดคงจะต้องจะต้องเขียนเป็นหนังสืออีกเล่่มหนึ่งอย่างแน่่นอน เมื่อเชื่อมต่อหะดิษรายงานเหล่านั้นเข้ากับสิ่งที่รู้เกี่ยวกับอิมามเป็นอย่่างดีแล้ว กล่าวคือว่าบรรดาอิมามเคยอาศัยอยู่, กินและพบปะกับพวกเรา จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า พวกเขา (บรรดาผู้คัดค้าน รวมถึงชาวสุนนะฮฺ) เป็นกาเฟรฺ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล แต่ว่าในโลกนี้พวกเขาต้องอยู่ภายใต้กฏหมายอิสลาม เพื่อเป็นท่าทีแห่งความเมตตาและความปรานีที่ชีอะฮฺที่แท้จริงจะแสดงออกเนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะปัดพวกเขาออกไป" (อัล-อันวารฺ อัล-ลามิอะฮฺ ชัรฮฺ อัซ-วิยาเราะฮฺ อัล-ยะมีอะฮฺ หน้า 176)
 สรุป ก็คือว่า ความจริงที่ถูกซ่อนเร้น ชาวชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ อิมาม 12 มีอะกีดะฮฺที่ว่า ผู้ใดที่่ปฎิเสธอิมามะฮฺของอิมามทั้งสิบสองของพวกเขา ก็คือกาเฟรฺ(ผู้ปฏิเสธ) และเป็นชาวนรกนั้นเอง แต่ที่กล่าวออกมาว่าชาวสุนนะฮฺเป็นมุสลิม ก็เป็นเพียงกลอุบาย เพื่อความสะดวกในการครอบงำชาวสุนะฮฺไม่่ให้ต่อต้านพวกเขา และเพื่อชักชวนชาวสุนนะฮฺเข้ารีตลัทธิรอฟีเฎาะฮฺชีอะฮฺอิมามสิบสองอย่างง่ายดายนั้นเอง

 والسلام

ดาวน์โหลด PDF เรื่องกลลวงลัทธิชีอะฮฺหลุมพลางชาวสุนะฮฺ กดที่นี้




เมื่ออิมามะฮฺของลัทธิชีอะฮ์เหมือนภาวะศาสดา

อิมามสิบสอง
เมืออิมามะฮฺของชีอะฮฺอิมาม12 เหมือนนุบุวะฮฺ
       
         ชาวชีอะฮิรอฟีเฎาะฮฺมีทัศนะเป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า สิทธิของอิมามทั้งสิบสอง(12)ท่าน ของพวกเขาในการนำทางอุมมะฮฺนั้น เป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ ศุบฮานฮูวตาอาลา ทรงประทานมาให้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีความแตกต่างในระหว่างการแต่งตั้งท่านนบีมูหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อให้เป็นรสูลของพระเจ้า และการแต่งตั้งอิมามสิบสองให้เป็นผู้สืบช่วงต่อจากท่าน เพื่อให้เน้นให้เห็นลักษณะอันสำคัญของอิมามะฮฺให้เด่นชัด อัลลามะฮฺ มุฮัมมัด หุเซน กาเชิฟ อัล-ฆิตะอฺ ผู้เป็นอาลิมชีอะฮฺ ผู้มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเมืองนะญัฟ อิรัคในระหว่างทศวรรษ 70 ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือของท่านชื่อ อัศลฺ อัช-ชีอะฮฺ วะ-อุศูลุฮา มีใจความว่า
"อิมามะฮฺเป็นตำแหน่งที่มาจากการแต่งตั้งของพระเจ้าเหมือนนุบุวะฮฺ(ภาวะศาสดา) เข่นเดียวกับที่อัลลอฮ์ทรงเลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่พระองค์ทรงประสงค์สำหรับนุบุวะฮฺและริซาละฮฺ... ในทำนองเดียวกันพระองค์ทรงเลือกบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่พระองค์ทรงประสงค์เพื่อให้มารับอิมามะฮฺ" (อัศลฺ อัช-ชีอะฮฺ วะ-อุศูลุฮา, หน้า 58)
          เนื่องจากอิมามะฮฺตามความเชื่่อชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺอิมามสิบสอง มีความเหมือนกับนุบุวะฮฺและริวาละฮฺในทุกๆด้าน การปฏิเสธอิมามะฮฺจึงมีความผิดในระดับเดียวกับการปฏเสธนุบุวะฮฺและริซาละฮฺ ถ้าปฏิเสธ นุบุวะฮฺและริซาละฮฺทำให้บุคคลเช่น อบูญะอัล และอบูละฮับ ต้องอยู่นอกศาสนาอิสลาม ย่อมอนุมานไปได้ว่า การปฏิเสธอิมามะฮ์ของท่านอาลี อิบนุ อบีฏอลิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ย่อมทำให้บุคคลอย่างอบูบักรฺ อุมัรฺ และเหล่าเศาะฮธบะฮฺที่เหลือ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม อยู่นอกศาสนาอิสลามด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับบุคคลที่มองปัญหาจากแง่มุมนี้ ย่อมจะไม่พิศวงสงสัยแต่ประการใดเมื่อพบว่า ชีอะฮฺรายงานหะดิษจากบรรดาอิมามของพวกเขาว่า
"ภายหลังวะฟาตของท่านรสูลุลลอฮฺ ประชาชนได้กลายเป็นมุรตัดกันหมด นอกจากบุคคล 3 คน" (อัลกาฟีย์ เล่ม 8 หน้า167)
 ทั้งนี้เพราะมันตรงกับหลักการที่ยกย่องให้อิมามะฮฺเสมอด้วยนุบุวะฮฺ ในความหมายที่ว่าตำแหน่งทั้งสองนั้นได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์อัลลอฮ์ ศุบฮานฮูวตาอาลา  

พวกชีอะฮฺพวกเขาจะพูดถึงชาวสุนนะฮ์เช่นเดียวกับที่พวกเขาพูดถึงบรรดาเศาะหาบะฮ์ นั้นคือ เมื่ออิมามเป็นตำแหน่งที่มาจากการแต่งตั้งของพระเจ้าเหมือนกับนุบุวะฮฺแล้ว ชาวสุนนีย์ที่ไม่ศรัทธาในอิมามะฮ์ของ 12 อิมาม ย่อมอยู่ในข่ายของผู้ปฏิเสธด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างเช่น อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ.381) ผู้แต่งหนึ่งในสี่หนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮ์ คือหนังสือ มัน ลา ยะฮฺซุรุหุล ฟะเกียฮฺ ได้กล่าวเอาไว้มีใจความตอนหนึ่งว่า
"มันเป็นความเชื่อของเราเกี่ยวกับบุคคลที่ปฏิเสธอิมามะฮฺของท่านอะมีรุ้ลมุอฺมินีน(อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ) และบรรดาอิมามภายหลังท่าน บุคคลผู้นั้นย่อมอยู่ในฐานะเดียวกับบุคคลที่ปฏิเสธนุบุวะฮฺของอัมบิยาอฺ"
 อบู ยะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ ผู้ได้รัยฉายาว่าเชค อัต-ตาอิฟะฮฺ(เสียชีวิต 460) ซึ่งเป็นผู้เขียนสองในสี่ของหนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮฺ ได้กล่าวว่า
"การปฏิเสธอิมามะฮฺเป็นกาเฟรฺ เหมือนกับการปฏิเสธนุบุวะฮฺ(ที่ทำให้)เป็นกุฟรฺนั้นเอง" (ตัลคิส อัช-ชาฟี เล่่ม 4 หน้า 131)   
 والله أعلم




วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไม่ใช่ชีอะฮ์(ผู้สนับสนุน)หรอกหรือ?ที่เป็นฆาตกรสังหารอลุลบัยต์!




นี้คือข้อมูลและงานเขียนที่น่าเชื่อถือของชาวชีอะฮ์ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผู้สังหารท่านอุเสน ในวันที่ 10 มุหัรร้อม 61 ณ กัรบาลา
ฆาตกรฆ่าหุเสน

ท่านหุเสนหลงกลชาวเมืองกุฟะฮ์ที่เขียนจดหมายไปถึงท่านยัง ณ นครมักกะฮ์ จำนวนถึง 12,000 ฉบับ เพื่อขอความช่วยจากท่านหุเสนและให้ท่านหุเสนกลับมาเป็นผู้นำพวกเขา (มุตาฮา อัลอามาล 1/430) หลังจากนั้นท่านหุเสนได้ส่งท่านมุสลิม บิน อะกีล ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องท่าน ไปยังเมืองกูฟะฮ์ และชาวชีอะฮ์ได้มาให้สัตย์สาบานตนแสดงความจงรักภัคดีต่อมุสลิม (ในฐานะตัวแทนของอัลฮุสัยน์) จำนวนถึง 18,000 นาย  ท่านมุสลิม จึงส่งจดหมายข่าวถึงท่านฮุเสน ถึงข่าวการให้สัตย์สาบานของชาวกุฟะะฮ์ และท่านหุเสนก็เดินทางมายังเมืองกูฟะฮ์ แต่แล้วท่านหุเสนก็ถูกหักหลัง ท่านมุสลิมถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และสุดท้ายท่านอุเสนก็ถูกสังหารจากชาวกุฟะฮ์ ผู้ที่กล่าวว่าเป็นชีอะฮ์ผู้สนับสนุนท่านเช่นกัน....

หุเสน อัลกูรอนีย์ ยังกล่าวอีกว่า “และเราได้พบกับอีกจุดยืนหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสับปลับและกลับกลอก(มุนาฟิก)ของชาวกูฟะฮ์ นั้นคือ อับดุลลอฮ์ บุตรเหาซะฮ์ อัตตะมีย์ได้ไปยืนอยู่ต่อหน้าอิมามอัลหุสัยนฺแล้วตะโกนออกมาว่า “มีหุสัยอยู่ในกลุ่มของพวกเจ้าไหม?”
นี่ก็คือชาวกูฟะฮฺอีกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อวานเคยเป็นชีอะฮ์ผู้สนับสนุนของอาลี และเป็นไปได้ว่าเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้เขียนจดหมายไปถึงอิมามอัลหุสัยนฺ หรือเป็นคนของชะบัษและอื่นๆที่ได้เขียนจดหมายไปหาท่าน...แต่แล้วเขากลับตะโกนว่า “โอ้ หุเสน เจ้าจงยินดี และมีความสุขกับไฟนรกเถิก”
(ฟีริหาบ กัรบะลาอฺ หน้า 61)


กาซิม อัลอิหฺสาอีย์ อันนัจญ์ฟีย์ เล่าว่า “แท้จริงกองทัพที่ออกเพื่อสู้รบกับอิมามอัลหุสัยนฺ มีจำนวน 300,000 นาย ทุกคนล้วนเป็นชาวเมืองกุฟะฮฺ ไม่มีในหมู่พวกเขาที่เป็นชาวเมืองชาม หรือหิญาซ หรืออินเดีย หรือปากีสถาน หรือซูดาน หรืออิยิปต์ หรืออัฟริกา เลยแม้แต่คนเดียว แต่ทุกคนล้วนเป็นชาวกูฟะฮฺ ซึ่งได้รวมตัวกันจากชนเผ่าต่างๆ”
(อะอฺยาน อัชชีอะฮฺ 1/26)

หุสัยนฺ บุตรอะหฺมัด อัลบะรอกีย์ อันนัจญ์ฟีย์ นักประประวัติศาสตร์คนสำคัญของชีอะฮ์คนหนึ่ง เล่าว่า “อัลก็อซวีนีย์ กล่าวว่า “และสาเหตุหนึ่งที่ชาวกูฟะฮ์ต้องถูกประณาม นั้นคือ พวกเขาได้แทงอัลหะสัน บุตรอาลี และสังหารอัลหุสัยนฺ หลังจากที่พวกเขาได้เรียกร้องให้ท่านไปหา”
(ตารีฆ อัลกูฟะฮฺ หน้า 113)

อายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา มุหฺสิน อัลอะมีน กล่าวว่า “หลังจากนั้น ชาวอิรัก จำนวน 20,000 นาย ก็ได้ให้คำสัตย์สาบานต่ออัลหุสัยนฺ โดยที่พวกเขาได้หลอกลวงและทรยศท่าน และปลีกตัวออกจากท่าน ในขณะที่การให้สัตย์สาบานของพวกเขายังคงอยู่บนบ่าของพวกเขา แต่แล้วพวกเขาเขาก็สังหารท่าน”
(ฟีริหาบ กัรบะลาอฺ หน้า 61)

เญาวาด มุหัดดิษีย์ กล่าวว่า “สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ทำให้อิมามอะลีต้องประสบกับสองความเจ็บปวดจากพวกเขา อิมามอัลหะสันก็ต้องเผชิญกับการหลอกลวงของพวกเขา และมุสลิม บุตรอะกีลก็ถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมต่อหน้าพวกเขา ส่วนอัลหุสัยนฺก็ถูกสังหารในสภาพที่กระหายน้ำ ณ แผ่นดินกัรบะลาอฺ ซึ่งอยู่ใกล้เมืองกูฟะฮฺ ด้วยเงื้อมมือของทหารกูฟะฮฺเอง”
(เมาสูอะฮฺ อาชูรออฺ หน้า 59)

อบูมันศูร อัฏฏ็อรุสีย์ อิบนุ ฏอวูส อัลอะมีน และอื่นๆ ได้เล่า อะลี บินหุเสน บุตรอะลี บุตรอะบีฏอลิบ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ “ซัยนุลอาบิดีน” ได้กล่าวตำหนิชาวชีอะฮ์ที่ได้ทรยศหันหลังบิดาของท่านและสังหารท่านว่า “โอ้ประชาชาติเอ๋ย ฉันขอด่าว่าพวกเจ้า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้เขียนจดหมายไปถึงบิดาของฉัน แต่แล้วพวกเจ้ากลับหลอกลวงท่าน พวกเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาและคำสัตย์สาบานตนแก่บิดาแน แต่แล้วพวกเจ้ากลับสังหารท่านและทรยศต่อท่าน ดังนั้นความพินาศฉิบหายต้องประสบความพวกเจ้าเพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ และความน่ารังเกียจของความคิดของพวกเจ้า พวกเจ้าจะมองหน้าท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม (ในวันปรโลก) ได้อย่างไร เมื่อท่านกล่าวแก่พวกเจ้าว่า “พวกเจ้าได้สังหารวงศ์วานของแน และทำลายเกียรติของฉัน ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ใช่ประชาชาติของฉัน”
ชีอะฮ์นั้นแหละสังหารท่านหุเสน

ดังนั้นเสียงร้องไห้ของบรรดาสตรีก็ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ พวกเขาจึงกล่าวแก่กันว่า “พวกเจ้าฉิบหายแวโดยที่พวกท่านไม่ทันรู้ตัว” ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า “อัลลอฮ์ยังทรงปราณีผู้ที่ยอมรับคำตักเตือนของฉัน และรักษาคำสั่งเสียของฉัน ไว้ในหนทางของอัลลอฮ์ รสูล และวงศ์วานของท่าน เพราะท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม คือแบบอย่างที่ดีของเรา” ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราพร้อมที่จะเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม และปกป้องรักษาภารกิจสำคัญของท่าน โดยไม่ยอมผละหนี้และหลีกเลี่ยงไปจากท่านอีก ดังนั้น ท่านสั่งมาเถิด เพราะแท้จริงเราพร้อมที่จะร่วมทำสงครามกับสงครามของท่าน และร่วมอยู่อย่างสันติกับความสันติของท่าน โดยแน่แท้เราจะตอบโต้ยะซีด และเราจะต้องรอดพ้นจากบรรดาผู้อธรรมต่อท่านและต่อพวกเรา” ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า “ออกไปให้ไกลๆเลย โอ้บรรดาผู้ที่ชอบหลอกลวงและมากด้วยเลห์ ระหว่างพวกเจ้ากับอารมณ์ตันหาของพวกเจ้าได้แปรสภาพไปแล้ว พวกเจ้าประสงค์จะมาหาฉันเสมือนกับที่พวกเจ้าได้เคยไปหาบรรดาบิดาของฉันก่อนหน้านี้ใช่ไหม? ไม่อย่างแน่นอน และฉันขอสาบานด้วยพระนามของผู้อภิบาลของสตรีผู้ที่ชอบเต้นไปมา แท้จริงบาดแผล(ของเรา)ยังไม่หายสนิท เมื่อวานบิดาของเราถูกสั่งหารพร้อมครอบครัวของท่าน และการสูญเสียท่านรสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และครอบครัวของท่าน และการสูญเสียบิดาของฉันและญาติๆของบิดาฉันได้ และฉันพบว่ามันยังอยู่ในระหว่างเพดานของฉัน และความขืนข่มของฉันอยู่ระหว่างคอหอยกับหลอดลมของฉัน ความโศกเศร้าของมันกำลังวนเวียนอยู่ตามแผ่นอกของฉัน”
(อัตเฏาะบะรีย์ได้กล่าวคุฏบะฮ์นี้ในอัลอิหฺติญาจญ์ 2/32 , อิบนุฏอวูสในอัลมัลฮูฟ หน้า 92 , 360 อัลอะมีนในละวาอิจญ์อัชญาณ หน้า 158...)

เมื่อครั้งที่อิหม่ามซัยนุลอาบิดีนเดินทางผ่าน ชาวกูฟะฮฺและได้เห็นพวกเขากำลงโศกเศร้าเสียใจและร้องไห้คร่ำครวญ ท่านก็ด่าว่าพวกเขาด้วยคำว่า “พวกเจ้าเศาร้าโศกเสียใจ และร้องให้คร่ำครวญเพื่อเราหรือ? แล้วใครหละที่เป็นผู้สังหารพวกเรา!”
(อัลมัลฮูป หน้า 86 , นัฟสุอัลมะฮ์มูม หน้า 357 , มักตัลอัลหุเสนของมุรตะฎอ หน้า 83 , ตุซลัมอัซซะฮ์รออฺ หน้า 257)
ในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า ท่านกล่าวด้วยเสียงที่ค่อยเพราะความป่วยว่า “แท้จริงพวกขาเหล่านั้นกำลังร้องไห้ต่อพวกเรา ดังนั้นผู้ใดอีกเหล่าที่สังหารพวกอื่นจากพวกเขา”
(อัลอิหฺติญาจน์ เล่ม 2 หน้า 29)

อมมุกัลษูม บินตุ อาลี กล่าวว่า “โอ้ ชาวกุฟะฮ์เอ๋ย พวกเจ้าช่างน่าอับอายยิ่ง ทำไมพวกเจ้าถึงทอดทิ้งหุเสนและสังหารเขา พวกเจ้าได้ปล้นทรัพย์สิ้นของเขาและเป็นทายาทครอบครองทรัพย์สินของเขา พวกเจ้าได้บรรดาสตรีของเขามาเป็นเชลยและทำให้พวกนางตกอยู่ในความทุกข์ยาก ดังนั้นความฉิบหายและป่นปี่จงประสบต่อพวกท่าน”
(อัลมัลฮูฟ หน้า 91 , นัฟสุอัลมะฮฺมูม หน้า 363...)

สำหับท่านหะสัน ก็เคยถูกพวกชาวกูฟะฮ์ ซึ่งอ้างตนว่าเป็นชีอะฮ์ผู้สนับสนุนท่านมาแล้วเช่นกัน
หลักฐานการสังหารอะลุลบัยต์

ชาวชีอะฮ์ที่ชื่อ อิดรีส อัลหุสัยนีย์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์การทรยศของชนรุ่นแรกของพวกเขาว่า “อิมามอันหะสันต้องประสบกับเหตุการณ์การลอบสังหารจากบุคลที่อยู่ในกองทหารของท่าน ซึ่งครั้งหนึ่งได้มีชาวเผ่าอะสัดคนหนึ่งชื่อ “อัลญะรอหฺ บุตร สินาน” มาหาท่านแล้วจับบังเหียนม้าของท่านไว้ พร้อมกับแทงอิมามตรงขาอ่อนของท่าน ดังนั้นอิมามจึงเข้าสวมกอดเขาไว้ แล้วทั้งสองก็ร่วงลงพื้นบนพื้นดิน จนกระทั้งอับดุลลอฮ์ บุตร หันซ็อล อัฏฏออีย์ เข้าไปต่อสู้กับท่าน แล้วหยิบเอาจอบจากอัลญะรอหฺ แล้วเสียบแทงท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นท่านถุกแทงอีกครั้งหนึ่งขณะที่ท่านดำรงละหมาดอยู่
(ละก้อด ชัยยะอะนี อัลหุสัยนฺ หน้า 279)

 والله أعلم

ส่วนหนึ่งอ้างอิงมาจาก ตามหาฆาตกร 10-01-61 จากตำราชีอะฮฺ