พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ

พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ
ท่านอาลี ท่านฮาซัน และท่านฮูเซน ไม่เคยรับรู้พิธีนอกรีดที่ว่านี้เลย

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“อะห์ลุลบัยต์”ในครึ่งหลังของอายะห์ที่ 33 ในซูเราะห์ อัล-อะห์ซาบ ในทัศนะรอฟีเฎาะฮฺ



อะหฺลุลบัยตฺ คือสมาชิกในครัวเรือนของท่านนบี ศ็อลฯ ตามความเชื่อของชีอะฮฺเมื่อครั้งที่ท่านนบี ศ็อลฯ ยัง มีชีวิตอยู่ อะหฺลุลบัยตฺมีเพียง 4 คนเท่านั้น ได้แก่ ท่านอะลี ท่านหญิงฟาติมะฮฺ ท่านหะซัน และท่านหุเซน รอฎิฯ
                  แต่ตามความเชื่อของอะหฺลุซซุนนะฮฺ อะหฺลุลบัยตฺประกอบไปด้วยภริยา ของท่านนบี ศ็อลฯ ครอบครัวของท่านอะลี ครอบครัวของท่านอับบาส รอฎิฯ และอะหฺลุลบัยตฺ มิได้อยู่ในภาวะ" มะอฺศูม "   ( ภาวะไร้บาป )เช่นเดียวกับบรรดานบีและรสูลของอัลลอฮฺ สุบหฯ ขณะที่ชาวชีอะฮฺเชื่อว่าอะหฺลุลบัยตฺของตนเป็นผู้ไร้บาป


คำว่า”อะห์ลุลบัยต์
                  คำว่า “อะห์ลุลบัยต์” ณ ที่นี้ปรากฏอยู่ในครึ่งหลังของอายะห์ที่ 33 ในซูเราะห์ อัล-อะห์ซาบ ยังมีอายะห์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและรวมเป็นกลุ่มเดียวกันนับจากอายะห์ที่ 28 จนถึงอายะห์ที่ 34ซึ่งมีมีความหมายเต็ม ๆ ดังนี้คือ :
                    (28)“โอ้นบี! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้าเถิดว่า หากพวกเธอปรารถนาการมีชีวิตในโลกนี้และความเพริศแพร้วของมัน ก็จงมาเถิด ฉันจะจัดหา(การเลี้ยงชีพ)ให้แก่พวกเธอ และจะปล่อยพวกเธอให้ออกไปอย่างดีงาม”
                      (29)”และหากพวกเธอปรารถนาอัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์และโลกอาคิเราะห์แล้ว แท้จริงอัลลอฮ์ได้เตรียมผลบุญอันใหญ่หลวงแก่เหล่าสตรีผู้กระทำความดีในหมู่พวกเธอ”
                      (30)”โอ้บรรดาภริยาของนบี! ผู้ใดในหมู่พวกเธอนำความชั่วอย่างชัดแจ้งมา การลงโทษจะถูกเพิ่มให้แก่นางเป็นสองเท่า ในการนั้นเป็นการง่ายดายแก่อัลลอฮ์”
                      (31)”และผู้ใดในหมู่พวกเธอที่ยอมภักดีต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และประพฤติแต่สิ่งที่ดี แน่นอนเราจักมอบรางวัลแก่นางถึงสองเท่า และเราได้สำรองโชคผลอันมีเกียรติแก่นาง”
                      (32)”โอ้บรรดาภริยานบี! พวกเธอหาได้มีฐานะเหมือนบรรดาสตรีทั้งหลายไม่ หากพวกเธอมีความยำเกรงก็อย่าได้ใช้วาจาอ่อนหวาน(กับชายอื่น) อันจะเป็นเหตุให้ชายที่มีความป่วยในหัวใจพากันมุ่งหวัง(ในตัวเธอ) และพวกเธอจงใช้วาจาที่ดี”
                      (33)”และจงประจำอยู่แต่ในเรือนของพวกเธอ และอย่างปรากฏตัวอย่างเปิดเผยตามอย่าง(การปรากฏตัวใน)ยุคญาฮีลียะห์ดั้งเดิม จงดำรงการละหมาด จงบริจาคซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะห์ลุลบัยต์! และทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์ยิ่ง”
                          (34)”และจงรำลึกถึงโองการของอัลลอฮ์และวิทยปัญญา ที่ถูกอ่านอยู่ในเรือนพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้อาทรยิ่ง ทรงเป็นผู้ตระหนักยิ่ง (33: 28-34)
                           จากข้อความข้างต้น อายะห์ที่ 28 และ 29 กล่าวถึงท่านนบี(ซ.ล.) อายะห์ที่ 30 และ 31 กล่าวถึงภริยาของท่านนบี(ซ.ล.) อย่างชัดเจน อายะห์ที่ 32 กล่าวถึงภริยาของท่านนบี(ซ.ล.) โดยตรง ยังเตือนว่าพวกเธอหาได้มีฐานะเหมือนบรรดาสตรีทั้งหลาย        ไม่ตอนนี้ก็มาถึงอายะห์ปัญหาของเรา
คืออายะห์ที่ 33 ครึ่งหลังซึ่งชาวชีอะห์ชอบที่จะอ้างสนับสนุนภาวะมะอ์ซูม(สภาพไร้บาป)และความสูงส่งของท่านอาลี(ร.ด.) ครึ่งแรกอายะห์นี้กล่าวว่า “ และจงประจำอยู่แต่ในเรือนของพวกเธอ และอย่าปรากฏตัวอย่างเปิดเผยตามอย่าง(การปรากฏตัวใน)ยุคญาฮีลียะห์ดั้งเดิม จงดำรงการละหมาด จงบริจาคซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์” เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถ้อยคำเหล่านี้เป็นส่วนต่อเนื่องมาจากอายะห์ต้นๆ ซึ่งกล่าวถึงบรรดาภริยาของท่านนบี(ซ.ล.) โดยตรงจากนั้นครึ่งหลังของอายะห์เดียวกันจึงปรากฏความว่า “แท้จริง อัลลอฮ์เพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะลุลบัยต์!และทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์ยิ่ง”
                    ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า กลุ่มอายะห์ทั้งกลุ่มนี้กล่าวถึงท่านนบี(ซ.ล.) และบรรดาภริยาของท่าน คำกิริยาและคำนามในตอนต้นๆ และในอายะห์ท้าย(34) อยู่ในรูปเพศหญิงแต่เฉพาะตรงครึ่งหลังของอายะห์ที่ 33 คำนามที่ใช้ตามหลังคำว่า”อะห์ลุลบัยต์” กลับเปลี่ยนเป็นคำเพศชาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตามหลักไวยากรณ์ภาษาอาหรับ คำเพศชายจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่ผู้ถูกพูดถึงมีเพศชายและเพศหญิงปนกัน ดังนั้น อายะห์เหล่านี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องและรวมบรรดาภริยาของท่านนบี(ซ.ล.) เอาไว้โดยมิต้องสงสัย ฝ่ายท่านอาลี ท่านหญิงฟาฏีมะห์ ท่านหะซัน และท่านหุเซน(ร.ด.)ได้ถูกรวมเข้าไปอยู่ในอะห์ลุลบัยต์กับเขาด้วยดังความในดุอาอ์ของท่านนบี(ซ.ล.) ที่กล่าวมาแล้ว ชาวชีอะห์อ้างเพียงแต่อายะห์ที่ 33 ครึ่งหลังเท่านั้น และทึกทักว่าอะห์ลุลบัยต์ได้แก่คนเพียง 4 คน โดยมิได้รวมบรรดาภริยาของท่านนบี(ซ.ล.)เข้าไว้ด้วย
                          ตอนนี้ขอให้เราสมมติว่า เรายอมรับคำอธิบายของชาวชีอะห์และถือว่าอะห์ลุลบัยต์ไม่ได้รวมภริยาของท่านนบี(ซ.ล.)เอาไว้ ใจความของอัล-กุรอานนับแต่อายะห์ที่ 29 จนถึงข้อความที่เรากำลังอภิปรายอยู่นี้ ก็จะอ่านได้ความดังนี้คือ : อัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงมีบัญชาบรรดาภริยาของท่านนบี(ซ.ล.) เลือกเอาระหว่างโลกนี้และโลกหน้า ทรงเตือนพวกนางให้ระวังการลงทัณฑ์หนักถึงสองเท่า ถ้าพวกนางเกิดพระพฤติตัวไม่เหมาะสมขึ้นมา ทรงสัญญาว่าพวกนางจะได้รับรางวัลตอบแทนสองเท่า ถ้าพวกนางทำสิ่งดีงาม ทรงเตือนพวกนางให้ทำตัวเป็นแบบอย่างในด้านกิริยามารยาท ทรงเคี่ยวเข็ญให้พวกนางดำรงการละหมาดและบริจาคซะกาต สุดท้ายพระองค์ทรงมีรับสั่งว่า พระองค์กำหนดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้กับพวกนาง เพราะพระองค์ทรงต้องการที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ให้ออกไปจากคนอื่น ไม่ใช่พวกนาง และคนเหล่านั้นก็ได้แก่ท่านอาลี ท่านหญิงฟาฏีมะห์ ท่านหะซันและท่านหุเซน(ร.ด.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น