พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ

พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ
ท่านอาลี ท่านฮาซัน และท่านฮูเซน ไม่เคยรับรู้พิธีนอกรีดที่ว่านี้เลย

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กลลวงของชีอะฮ์รอฟีเฎาะฮฺต่อชาวสุนนะฮฺปัจจุบัน

ทัศนะอุลามะฮฺของชีอะฮ์ในอดีตกับความเป็นกาเฟรของชาวสุนนะฮ์
شيعة
กลอุุบายของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺให้ชาวสุนนะฮ์ตกหลุมพราง

ในอดีตอุลามะฮฺของชีอะฮ์มากมายที่แสดงทัศนะว่าชาวสุนนะฮฺเป็นพวกปฏิเสธ อยู่นอกศาสนาอิสลาม อันเนื่องจากชาวสุนนะฮฺปฏิเสธการศรัทธาในอิมามะฮฺของ 12 อิมาม ซึ่งอยู่ในภาวะศาสดา หรือนุบุวะฮฺ
เช่น อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ.381)
ผู้แต่งหนึ่งในสี่หนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮ์ คือหนังสือ มัน ลา ยะฮฺซุรุหุล ฟะเกียฮฺ ได้กล่าวเอาไว้มีใจความตอนหนึ่งว่า
"มันเป็นความเชื่อของเราเกี่ยวกับบุคคลที่ปฏิเสธอิมามะฮฺของท่านอะมีรุ้ลมุอฺมินีน(อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ) และบรรดาอิมามภายหลังท่าน บุคคลผู้นั้นย่อมอยู่ในฐานะเดียวกับบุคคลที่ปฏิเสธนุบุวะฮฺของอัมบิยาอฺ"
เชคมุฟิด ลูกศิษย์ของ อิบนุ บะบาวัยฮฺ อัลกุมมีย์(เสียชีวิตใน ฮ.ศ.413) เขียนเอาไว้ว่า
"ในหมู่ชาวอิมามียะฮฺ(ชาวอิษนาอะชัร หรือชีอะฮฺสายสิบสองอิมาม) มีทัศนะที่เป็นเอกฉันท์ร่วมกันว่า บุคคลใดที่ปฏิเสธอิมามมะฮฺของอิมามคนใดคนหนึ่ง และปฏิเสธหน้าที่ของการเคารพเชื่อฟังที่พึงมีต่อพวกเขาตามที่อัลลอฮฺได้ทรงมีบัญชาไว้ บุคคลผู้นั้นคือกาเฟร ผู้หลงทาง และเขาควรที่จะได้รับการทรมานในนรกตลอดกาล" (อัล-มะซาอิล , อ้างอยู่ในบิฮารฺ อัล-อันวารฺ เล่ม 8 หน้า 366)
 อบู ยะอฺฟัรฺ อัต-ตูซีย์ ผู้ได้รัยฉายาว่าเชค อัต-ตาอิฟะฮฺ(เสียชีวิต 460) ซึ่งเป็นผู้เขียนสองในสี่ของหนังสือรวบรวมหะดิษฉบับสำคัญของชีอะฮฺ ได้กล่าวว่า
"การปฏิเสธอิมามะฮฺเป็นกาเฟรฺ เหมือนกับการปฏิเสธนุบุวะฮฺ(ที่ทำให้)เป็นกุฟรฺนั้นเอง" (ตัลคิส อัช-ชาฟี เล่่ม 4 หน้า 131)   
นี้คือความคิดเห็นอุลามะฮฺชีอะฮฺผู้มีชื่อเสียงโดงดังบางท่านในสมัยอดีต และถ้ามองจากมุมมองของความสอดคล้องต้องกันแล้ว ถือว่ามีน้ำหนักโดยแท้จริง และยังสอดคล้องกับหลักศรัทธารุก่นอิหม่าน ของลัทธิชีอะฮ์ ซึ่งมี 5 ประการ ดังนี้
1. เตาฮีด (เอกภาพ) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ ศรัทธาว่าพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง และพระผู้ทรงกำหนด
2. อะดาละฮฺ (ความยุติธรรม) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงยุติธรรมยิ่ง
3. นุบูวะฮฺ (ศาสดาพยากรณ์) คือศรัทธาว่าอัลลอฮ์ได้ทรงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือนบีมุฮัมมัด ที่ได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ในนั้นมีคำสั่งสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ ทาสผู้รับใช้อัลลอฮฺ มีบทบัญญัติ และพงศาวดารของประชาชาติในอดีต เพื่อเป็นข้อคิดและอุทธาหรณ์
4. อิมามะฮฺ (การเป็นผู้นำ) ศรัทธาว่าผู้นำสูงสุดในศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาสนทูตมุหัมมัดเท่านั้น จะเลือกหรือแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ผู้นำเหล่านั้น มี 12 คนคือ อะลีย์ บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลีย์ และฟาฏิมะฮฺอีก 11 คน
5. มะอาด (การกลับคืน) ศรัทธาในวันฟื้นคืนชีพ คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
กลอุบายของลัทธิชีอะฮฺต่อชาวสุนนะฮฺปัจจุบัน
กลอุบายที่ชาวสุนนะฮฺตกหลุ่มพราง


 แต่เมื่อถามชีอะฮฺที่อยู่สมัยปัจจุบัน(โดยเฉพาะพวกที่พึ่งเข้ารีตเป็นลัทธิชีอะฮฺใหม่) ว่า พวกเขาเชื่อหรือไม่ว่า ชาวสุนนีย์เป็นกาเฟร พวกเขาจะมีปฏิกิริยาในลักษณะที่น่าประหลาดใจ และพวกเขาอาจจะแสดงท่าทางสลดใจกับคำถามดังกล่าวเสียด้วยซ้ำไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีการปิดบังข้อเท็จจริงบางประการไม่ให้พวกเข้ารีตใหม่ได้รับรู้ ทั้งนี้เพราะจะเสียประโยชน์ในแผนการโฆษณาชวนเชื่อ
อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรดาผู้ที่มีความรู้ทางด้านวิชาการของชีอะฮฺเป็นอย่างดี ย่อมรู้ว่าในสายของชีอะฮฺนั้น ถือว่าในระหว่างความเป็นมุสลิมกับมุอฺมินนั้นไม่เหมือนกัน คนที่ปฏิญาณตัวเข้ารับอิสลามทุกคนเป็นมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นสุนนีย์ , ซัยดียะฮฺ , มุอฺตะซิละฮฺ และอื่นๆ

มุอฺมินในทัศนะของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ
มุอฺมินในทัศนะของชีอะฮฺนั้น ได้แก่บุคคลที่ศรัทธาในอิมามสิบสอง(12)เท่านั้น ด้วยกลอุบายอันชาญฉลาดเยี่ยงนี้ ฟุเกาะฮาของชีอะฮฺสามารถใช้ก้อนหินก้อนเดียวฆ่านกไปได้หลายตัว โดยการยอมรับว่านิกายอื่นๆทั้งหมดเป็นมุสลิม พวกเขาสามารถปกป้องตัวเอง ให้พ้นจากความน่าตลกขบขันจากการอัปเปหิชาวสุนนะฮ์ผู้นับถือที่มีจำนวนมากกว่า 90% ให้พ้นไปจากแวดวงของอิสลาม ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้น คือคนที่นำเอาธงของอิสลามไปโบกสะบัดอยู่ตามมุมโลก ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังสามารถหลีกเลี่ยงความเป็นปรปักษ์ของชาวสุนนีย์และกลุ่มอื่นๆไปได้ ซึ่งทำให้การเข้ารีต(ไปเป็นกลุ่มลัทธิชีอะฮฺ)สะดวกสบายขึ้นสำหรับพวกเขา

การแบ่งแยกมุสลิมออกจากมุอฺมินของลัทธิชีอะฮฺอิมามสิบสอง
ในอีกด้านหนึ่ง โดยอาศัยมาตรการที่มีเลห์เหลี่ยมอย่างนี้ คือการแบ่งแยกมุสลิมออกจากมุอฺมิน พวกเขาสามารถขับไล่ฝ่ายตรงข้ามออกไปจากศาสนาอย่างได้ผล เพราะมุสลิมนั้นได้แก่บรรดาผู้ที่กฏหมายอิสลามมีผลบังคับใช้เหนือพวกเขาในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงอนุญาตให้แต่งงานกับพวกเขาได้ ละหมาดตามหลังพวกเขาได้ ให้บริโภคสัตว์ที่พวกเขาเชือดได้

สำหรับมุอฺมินในทัศนะของลัทธิชีอะฮฺนั้น ได้แก่บรรดาเขาเหล่านั้นที่จะพบกับความรอดพ้นในวันอาคีเราะฮ์เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น และนั้นต้องขึ้นอยู่กับการศรัทธาในอิมามสิบสองนั้นเอง

ความแตกต่างระหว่างมุสลิมกับมุอฺมินในลักษณะนี้ จะหาพบได้ในตำรารุ่นก่อนๆของลัทธิชีอะฮฺ
ตัวอย่าง เช่น ยะหืยา อิบนิ สะอิด อัล-ฮิลลีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ.690) ฟากีฮฺของสมัย ฮ.ศ.ที่ 7 ได้เขียนเอาไว้ในหนังสืออัล-ญะมิอฺ ลิช-ชะเราะอิอฺ ซึ่งเป็นตำราทางด้านฟิกฮฺของท่าน ตอนหนึ่งมีใจความว่า
"การที่มุสลิมคนหนึ่งจะทำวะกัฟให้กับมุสลิมคนอื่นๆย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะมุสลิมนั้น ได้แก่บรรดาผู้ที่กล่าวสองชะฮาดะฮฺ และ (รวมถึง) เด็กๆ ของพวกเขา แต่ถ้าคนผู้หนึ่งมอบบางสิ่งบางอย่างโดยวะกัฟให้กับมุอฺมินแล้ว สิ่งนั้นจะได้แก่ชาวอิมามียะฮฺที่ศรัทธาในอิมามะฮฺของอิมาม 12 แต่เพียงพวกเดียวเท่านั้น" (อัล-ญะเมียะอฺ ลิช-ชะรออีอฺ หน้า 371)
ในช่วงเวลาแปดศตวรรษต่อมา อยาตุลลอฮฺ คุมัยนีได้มาประกาศทัศนะอย่างเดียวกันนั้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านกล่าวเอาไว้ในหนังสือตะฮฺรีรฺ อัล-วาซิละฮฺ หนังสือทางฟิกฮฺของท่านว่า
"ถ้าบุคคลหนึ่งทำวะกัฟให้กับมุสลิม วะกัฟนั้นจะได้แก่ทุกคนที่ปฏิญาณตัวด้วยสองชะฮาดะฮฺ...แต่ถ้าชาวอิมามีย์ผู้หนึ่งทำวะกัฟให้กับมุอฺมิน วะกัฟนั้นจะจำกัดเฉพาะชาวอิษนา อะชะรียะฮฺ (ชีอะฮฺสิบสองอิมาม) เท่านั้น" (ตะฮฺรีรฺ อัล-วาซิละฮฺ เล่ม 2 หน้า 72)
มุอฺมินในความพิเศษและมุอฺมินในความหมายทั่วไปของลัทธิชีอะฮฺ
คุมัยนียืนยันมุอฺมินคือชาวชีอะฮฺอิมามสิบสองเท่านั่น


ในบรรดาโฆษณาของลัทธิชีอะฮฺร่วมสมัยบางคน เช่น กาชิฟ อัล-ฆฺตะฮฺ ตระหนักว่ากลอุบายประการนี้ยังแหลมคมไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงประดิษฐ์ศัพท์บัญญํติขึ้นมาใหม่ เขาใช้คำว่ามุอฺมินในความหมายพิเศษ และมุอฺมินในความหมายทั่วไป บุคคลใดก็ตามเชื่อมั่นในอิมามะฮฺให้ถือว่าเขาเป็นมุอฺมินในลักษณะพิเศษ ขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ยอมศรัทธาในอิมามะฮฺให้ถือเสียว่าเป็นมุอฺมินในความหมายทั่วไป ดังนั้นบรรดาคนเหล่านี้จึงอยู่ภายใต้กฎหมายทางโลกของอิสลาม(ตามความคิดของพวกเขา)ด้วยเช่นกัน เขากล่าวว่า ผลลัพธ์ของความแตกต่างประการนี้ จะปรากฏให้เห็นในวันแห่งการพิพากษา ในระดับของการได้อยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าและเกียรติยศที่จะถูกประทานให้แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาในอิมามะฮฺ (อัศลฺ อัช-ชีอะฮฺ วะ-อุศูลุฮา หน้า 58-59)

เล่ห์เหลี่ยมของรอฟีเฎาะฮฺชาวสุนนะฮฺเป็นมุสลิมเรื่องทางโลกนี้ ปรโลกคือชาวนรก
เรื่องดังกล่าวมาข้างต้น ย่อมได้เปิดเผยให้ทราบมากกว่าที่ผู้เขียน(ลัทธิชีอะฮฺ)ประสงค์จะเปิดเผยเสียอีก มันเปิดเผยให้ชาวสุนนะฮฺทราบว่า เมื่อชีอะฮฺพูดว่าพวกเขาถือว่าชาวสุนนีย์เป็นมุสลิมนั้น นั้นเป็นเพียงคำอ้างถึงเรื่องทางโลกแต่อย่างเดียวเท่านั้น สำหรับเรื่องของโลกหน้า ของปรโลกนั้น ชาวสุนนีย์ที่ไม่ยอมศรัทธาในอิมามะฮฺของอิมามสิบสอง ก็มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากพวกยิว , คริสเตียน , ชาวพุทธ , ฮินดู หรือผู้ปฏิเสธนุบุวะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ พวกอื่นๆ

รอฟีเฎาะฮฺอำพลางอากีดะฮฺเพื่อความได้เปรียบและความสะดวก
สาเหตุที่ลัทธิชีอะฮฺต้องพูดว่าชาวสุนนีย์เป็นมุสลิมนั้น ก็เพื่อความได้เปรียบและความสะดวกของพวกตน ถ้าไม่แสดงความคิดออกมาอย่างนี้ ชีอะฮฺจะต้องถอยร่นเข้าไปสู่ความโดดเดี่ยว และถูกคว่ำบาตรจากพี่น้องมุสลิมที่เหลือทั้งหมด
ซัยยิด อับดุลลอฮฺ ชุบบารฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ.1232) ได้ให้เหตุผลเรื่องนี้เอาไว้ในบทอรรถาธิบายอัซ-วิยาเราะฮฺ อัล-ญะมีอะฮฺ ซึ่งเป็นหนังสือดุอาอฺสำหรับใช้อ่านที่หลุมฝังศพของบรรดาอิมาม เมื่อถึงตอนที่อัซ-ซิยาเราะฮฺอ่านได้ความว่า "บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธท่านเขาเป็นกาเฟรฺ" ซัยยิด อับดุลลอฮฺ ชุบบารฺ อธิบายว่า
"มีหะดิษมากมายแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้คัดค้านเป็นกาเฟรฺ ถ้าจะคัดลอกหะดิษทั้งหมดคงจะต้องจะต้องเขียนเป็นหนังสืออีกเล่่มหนึ่งอย่างแน่่นอน เมื่อเชื่อมต่อหะดิษรายงานเหล่านั้นเข้ากับสิ่งที่รู้เกี่ยวกับอิมามเป็นอย่่างดีแล้ว กล่าวคือว่าบรรดาอิมามเคยอาศัยอยู่, กินและพบปะกับพวกเรา จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า พวกเขา (บรรดาผู้คัดค้าน รวมถึงชาวสุนนะฮฺ) เป็นกาเฟรฺ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล แต่ว่าในโลกนี้พวกเขาต้องอยู่ภายใต้กฏหมายอิสลาม เพื่อเป็นท่าทีแห่งความเมตตาและความปรานีที่ชีอะฮฺที่แท้จริงจะแสดงออกเนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะปัดพวกเขาออกไป" (อัล-อันวารฺ อัล-ลามิอะฮฺ ชัรฮฺ อัซ-วิยาเราะฮฺ อัล-ยะมีอะฮฺ หน้า 176)
 สรุป ก็คือว่า ความจริงที่ถูกซ่อนเร้น ชาวชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ อิมาม 12 มีอะกีดะฮฺที่ว่า ผู้ใดที่่ปฎิเสธอิมามะฮฺของอิมามทั้งสิบสองของพวกเขา ก็คือกาเฟรฺ(ผู้ปฏิเสธ) และเป็นชาวนรกนั้นเอง แต่ที่กล่าวออกมาว่าชาวสุนนะฮฺเป็นมุสลิม ก็เป็นเพียงกลอุบาย เพื่อความสะดวกในการครอบงำชาวสุนะฮฺไม่่ให้ต่อต้านพวกเขา และเพื่อชักชวนชาวสุนนะฮฺเข้ารีตลัทธิรอฟีเฎาะฮฺชีอะฮฺอิมามสิบสองอย่างง่ายดายนั้นเอง

 والسلام

ดาวน์โหลด PDF เรื่องกลลวงลัทธิชีอะฮฺหลุมพลางชาวสุนะฮฺ กดที่นี้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น