พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ

พิธีถวายเลือดรอฟีเฎาะฮฺ
ท่านอาลี ท่านฮาซัน และท่านฮูเซน ไม่เคยรับรู้พิธีนอกรีดที่ว่านี้เลย

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฟัตวาของลัทธิอัรรอฟีเฎาะฮฺดูภาพโป๊ได้

อยาตุลลาต อัล-คูอีย์


6 - محمد بن يحيى، عن أحمد بن محمد، عن علي بن الحكم، عن علي بن سويد قال: قلت لابي الحسن (ع): إني مبتلي بالنظر إلى المرأة الجميلة فيعجبني النظر إليها، فقال لي: يا علي لا بأس إذا عرف الله من نيتك الصدق وإياك والزنا فإنه يمحق البركة و يهلك الدين

"รางานจากอะลี บินสุวัยดฺ กล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่อิมามอบุลหะสัน อลัยฮิสสลาม ว่า ฉันประสบปัญหาอันเนื่องจากการมักจะชำเลืองมองไปยังสตรีงามๆ ดังนั้นฉันจึงได้มองไปยังเจ้าหล่อน ท่านอิมามตอบว่า "ไม่เป็นไร" เพราะอัลลอฮฺทรงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของเจ้า แต่จงระวังการผิดประเวณี เพราะมันจะเป็นสาเหตุให้อีมานพังทลายลง"

หนังสือ อัลกาฟี ของ เชคกุลัยนี (บุรุษที่ชีอะฮฺชื่อว่าเป็นตัวแทนของอิมามมะฮฺดี) เล่ม 5 หน้า 542 หมายเลข 6
หนังสือ วะซาอิลุชชีอะฮฺ ของ อบุลหะซัน ฮัรรุลอามิลี เล่ม 20 หน้า 308 หมายเลข 3






هل يجوز النظر إلى صور الخلاعة قصدا ، إذا لم يحدث أي شهوة ؟ السؤال: 9


. إذا لم يكن مثيرا للشهوة كما هو المفروض في السؤال جاز، والله العالم. : الفتوى

คำถาม: เป็นที่อนุมัติหรือไม่ที่จะมองอย่างจงใจไปยังภาพลามกอนาจาร ซึ่งถ้าหากว่าดูแล้วมันไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

คำตอบ : ถ้าหากดูแล้วมันไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศดังที่กล่าวไปในคำถาม ก็ถือว่าเป็นที่อนุมัติ วัลลอฮุอะอฺลัม

(ฟัตวาหมายเลข 9 ในหนังสือ “ศิรอตุนนะญาต” ของ อัลคูอีย์ ในบทที่ชื่อว่า “อัลมุฮัรริมาต อัลเฟี๊ยะอฺลียะฮฺ” ฉบับออนไลน์อ่านได้ที่เว็ปนี้ http://arabic.al-khoei.org/falea.htm )


ซึ่งขัดแย้งกับอัลกุรอานที่ว่า

{ قُلْ لِّلْمُؤْمِنِينَ يَغُضُّواْ مِنْ أَبْصَارِهِمْ وَيَحْفَظُواْ فُرُوجَهُمْ ذٰلِكَ أَزْكَىٰ لَهُمْ إِنَّ ٱللَّهَ خَبِيرٌ بِمَا يَصْنَعُونَ }
[24:30]"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ"

นี่แหละคือรอฟีเฎาะฮฺ

"มุศฮัฟฟาติมะฮฺ" หรือ คัมภีร์ของท่านหญิงฟาติมะฮฺตามอากีดะฮฺของรอฟิเฎาะฮฺ



ในเว็ปไซต์ภาษาอังกฤษของพวกรอฟิเฎาะฮฺที่ชื่อว่า http://www.balagh.net/ จากไว้ดังนี้ 


คำแปล 


ยิ่งไปกว่านั้น ท่านชัยคฺศอดูก อุลามาอ์ชีอะฮฺผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิหร่าน ได้รายงานหะดีษไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า "อิลัลชะรอเอี๊ยะอฺ" จากท่านเซด อิบนุอะลีกล่าวว่า "ฉันได้ยินอบูอับดุลลอฮฺซึ่งก็คืออิมามศอดิกกล่าวว่า ท่านหญิงฟาติมะฮฺนั้นถูกขนานนามว่า "มุฮัดดะษะฮฺ" เพราะว่าท่านมลาอิกะฮฺญิบรีลได้เสด็จลงมาหาเธอจากฟากฟ้าและได้พูดกับเธอเฉกเช่นเดียวกับที่ได้เคยพูดกับ นางมัรยัมบุตรของอิมรอน (แม่ของนบีอีซา) ดังนี้ "โอ้ฟาติมะฮฺ อัลลอฮฺได้ทรงเลือกเธอให้อยู่เหนือสตรีทั้งหมดของทุกๆอุมมะฮฺ"



มุศฮัฟฟาติมะฮฺ จาก การเปิดเผยของหนังสือที่ชีอะฮฺศรัทธาอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอิสลามและไม่มี้อผิดพลาดเลย : "อัลกาฟีย์"
ในหนังสือหะดีษหมายเลข 1 ของชีอะฮฺอย่าง "ศอเฮี๊ยฮฺอัลกาฟีย์" ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับฟาติมะฮฺไว้ดังนี้

อิมาม(ญะอฺฟัร อัศ-ศอดิก)กล่าวว่า : เรามีคัมภีร์ฉบับของฟาฏิมะฮฺ และท่านรู้ไหมว่าคัมภีร์ฉบับของฟาฏิมะฮฺนี้คืออะไร? ในมันนั้นก็เปรียบเสมือนอัล-กุรฺอานซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าอัล-กุรฺอาน(ฉบับปัจจุบัน)ถึงสามเท่า และฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า มันไม่ได้บรรจุแม้สักถ้อยคำหนึ่งของอัล-กุรฺอาน(ฉบับปัจจุบัน)ของท่านเอาไว้แม้แต่น้อย 
เราได้เห็นได้ทราบกันไปแล้วว่า มุสฮัฟฟาติมะฮฺ ตามหลักความเชื่อของพวกชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺนั้น คืออะไร แน่นอนเราสามารถสรุปได้ตรงนี้เลยว่า มุศฮัฟฟาติมะฮฺคือ
1. วะฮีย์ที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานมาแก่ท่านหญิงฟาติมะฮฺ เมื่อเป็นเช่นนี้จริงมันก็ไม่ต่างจากอัลกุรอานเลย เพราะอัลกุรอานก็คือวะฮีย์
2. เมื่อมุสฮัฟฟาติมะฮฺคือวะฮีย์จากอัลลอฮฺ มันก็ย่อมหมายถึงว่ามันคือคัมภีร์จะเรียกว่าอัลกุรอานหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ทุกวันนี้มันอยู่ที่ไหน หรือว่ามันหายไปแล้ว??? ถ้าชีอะฮฺหามาแสดงไม่ได้ก็แสดงว่า วะฮีย์ของอัลลอฮิอย่างมุศฮัฟของฟาติมะฮฺก็สูญหายไปเช่นเดียวกับอากีดะฮฺอัลกุรอานไม่ครบของรอฟิเฎาะฮเอง


แต่เมื่อได้ถามรอฟีเฎาะฮฺในประเทศไทย ว่าคัมภีร์ของฟาติมะฮฺคืออะไร พวกเขาก็จะตอบมาว่า ว่าชาวซุนนะฮฺเข้าใจผิดแล้ว มันไม่ใช่คัมภีร์ แต่มันคือ หนังสือบันทึกส่วนตัวในเรื่องศาสนาของท่านหญิงฟาติมะฮฺเอง!! การแก้ตัวนำขุ่นๆเช่นนี้ปรากฎพบในการถกกันของ นายสุไลมาน ฮุซัยนี ดังนี้


ทุกท่านคงได้เห็นแล้วว่า นายสุไลมานได้ "โกหก" ต่อ อ.ฟารีดและคณะที่ไปถกในครั้งนั้นอย่างไร ซึ่งต่างกับหลักฐานข้างต้นโดยสิ้นเชิง นาอูซูบิลลาฮฺฮิมินัซซาลิก

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รอฟีเฎาะฮฺคือศัตรูอิสลาม




กลุ่ม ฮิซบุลลอฮฺ พวกเขาอยู่ในแนวทางของชีอะฮฺ หัวหน้าของกลุ่มที่ชื่อว่า หะซัน นัศรุลลอฮฺ ก็เคยเข้าร่วมกับกลุ่มชีอะฮฺอีกกลุ่มที่ชื่อว่ากลุ่มอมัล (???) ในการเข่นฆ่าชาวซุนนีในเมืองเบรุตประเทศเลบานอน คนผู้นี้เช่นกันที่ได้ประณามและด่าท่านมุอาวิยะหฺ บินอบีซุฟยาน (เป็นศอฮาบะฮฺท่านนบีและเป็นผู้หนึ่งที่ท่านนบีมอบหมายให้บันทึกอัลกุ รอาน)อย่างเปิดเผยในสังคมเลบานอนโดยมิได้ใส่ใจความรู้สึกของชาวซุนนีแม้แต่ น้อย กลุ่มฮิซบุลลอฮฺอีกเช่นกันที่ได้เข้าไปครอบครองมัสยิดต่างๆของชาวซุนนีทาง ภาคใต้ของเลบานอนโดยไม่คำนึงถึงเสียงเรียกร้องของผู้นำชาวซุนนีแต่อย่างใด


หนังสือ ต่างๆของชาวชีอะฮฺได้ระบุอย่างชัดเจนในเรื่องการเป็นกาฟิร(การปฏิเสธ ศรัทธา)ของชาวซุนนีหรือชาวอันนาศิบะหฮฺ (คือพวกที่ถูกชีอะฮฺกล่าวหาว่าไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของท่านอะลี โดยอ้างว่าท่านอะลีสมควรที่จะเป็นคอลีฟะฮฺมากกว่าท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรและท่านอุษมาน ซึ่งพวกที่ถูกชีอะฮฺกล่าวหาอย่างนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชาวซุนนีนั่น เอง) หนังสือบางเล่มของชีอะฮฺเช่น อัลกาฟียฺของอัลกุลลัยนียฺ ยังได้กล่าวหาท่านหญิงอาอิชะฮฺ(ภรรยาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่าได้กระทำสิ่งลามก(การผิดประเวณี) และโองการในซูเราะฮฺอันนูรนั้นอัลลอฮฺก็มิได้ประทานลงมาเพื่อประกาศความ บริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮฺแต่อย่างใด ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ตรงข้ามกับที่ชาวซุนนีเชื่อว่าท่านหญิงอาอิชะฮฺถูกใส่ ร้ายโดยกลุ่มมุนาฟิกีนในมะดีนะฮฺว่านางได้ทำซินา จนอัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงประทานโองการดังกล่าวมาเพื่อประกาศความบริสุทธิ์ของ ท่านหญิง


ชาว ชีอะฮฺทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกยังคงประกาศความเคารพภักดีต่อโคมัยนีผู้ ซึ่งเห็นชาวซุนนีเป็นศัตรู จนถึงขั้นที่ว่าบรรดาชาวยิวและคริสต์ในอิหร่านได้รับสิทธิในสภาอิหร่าน ในขณะที่ชาวซุนนีไม่มีสิทธิและตำแหน่งใดๆในสภาดังกล่าว


ชาวซุนนีในอิหร่านยังถูกข่มเหง ถูกทรมาน และถูกอธรรมในหลายๆรูปแบบ มัสยิดของพวกเขาถูกทำลายหรือถูกยึดโดยชาวชีอะฮฺ ถูกปิดกั้นมิให้เผยแผ่หลักการของอะหฺลุซซุนนะฮฺ ถูกห้ามมิให้มีโรงเรียนของชาวซุนนี และล่าสุดทางการอิหร่านได้จำคุกชาวซุนนีกลุ่มหนึ่งในมณฑลอัลอะหฺวาซด้วยข้อ หาครอบครองหนังสือซุนนีแนวสะลัฟ 


ชาว ชีอะฮฺทั้งในอิหร่าน เลบานอน รวมทั้งประเทศไทย ไม่เคยลืมความขัดแย้งระหว่างซุนนีและชีอะฮฺที่เกิดขึ้นมาในอดีต พวกเขายังคงรื้อฟื้นและเน้นย้ำถึงความขัดแย้งด้านความเชื่อและหลักศรัทธา หัวหน้าชาวชีอะฮฺในเมืองไทยยังเคยประณามท่านอุมัร บิน อัลคอฎฎอบ(ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในเทปดังม้วนหนึ่ง) โดยไม่สนใจความรู้สึกของชาวซุนนี แต่ทำไมเล่าจึงเรียกร้องให้ชาวซุนนีลืมความขัดแย้งทั้งหมด ทำไมเล่าจึงเรียกร้องให้เลื่อนหรือยกยอดความขัดแย้งนี้ไป



ตารางเวลาละหมาดของชีอะฮฺอัรรอฟีเฎาะฮฺ



ความแตกต่างตารางเวลาละหมาดของชีอะฮฺรอฟีเฎาะพฮฺกับซุนนะฮฺ


  • PDF
  •  
  • พิมพ์
  •  
  • อีเมล
มักริบMAGHREB
ตะวันตกดินSUNSET
ดุฮร์
ZOHR
ตะวันขึ้นSUNRISE
ศุบฮ์
FAJR
วันที่ DAY
18:07
17:48
12:07
06:26
05:10
1
18:07
17:48
12:07
06:26
05:11
2
18:07
17:49
12:08
06:27
05:11
3
18:07
17:49
12:08
06:27
05:12
4
18:08
17:49
12:08
06:28
05:12
5
18:08
17:49
12:09
06:28
05:13
6
18:08
17:50
12:09
06:29
05:13
7
18:09
17:50
12:10
06:30
05:14
8
18:09
17:50
12:10
06:30
05:14
9
18:09
17:51
12:11
06:31
05:02
10
18:10
17:51
12:11
06:31
05:11
11
18:10
17:51
12:12
06:32
05:16
12
18:11
17:52
12:12
06:32
05:16
13
18:11
17:52
12:13
06:33
05:17
14
18:11
17:53
12:13
06:33
05:17
15
18:12
17:53
12:14
06:34
05:18
16
18:12
17:54
12:14
06:34
05:18
17
18:13
17:54
12:14
06:35
05:19
18
18:13
17:54
12:15
06:35
05:19
19
18:14
17:55
12:15
06:36
05:20
20
18:15
17:56
12:16
06:37
05:21
21
18:15
17:56
12:16
06:37
05:21
22
18:15
17:56
12:17
06:37
05:21
23
18:16
17:57
12:17
06:38
05:22
24
18:16
17:58
12:18
06:38
05:22
25
18:17
17:58
12:18
06:39
05:23
26
18:17
17:59
12:19
06:39
05:23
27
18:18
17:59
12:19
06:40
05:24
28
18:18
18:00
12:20
06:40
05:24
29
18:19
18:00
12:20
06:41
05:24
30
18:19
18:01
12:21
06:41
05:25
31
จากเว็บชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮฺ ชื่อ อะห์ลุลบัยต์ http://ahlbeyt.com/index.php?option=com_content&view=article&id=46&Itemid=196